ค้นหาบล็อกนี้

Page Nav

HIDE

Grid

GRID_STYLE

Hover Effects

TRUE

Gradient Skin

{fbt_classic_header}

Update News:

latest

สหกรณ์คลองจั่นสู้ยิบตา ร้องดีเอสไอคืน 3,800 ล้าน ฟ้องหมิ่นสกัดข้อหาฟอกเงิน


สหกรณ์คลองจั่นสู้ยิบตา ร้องดีเอสไอคืน 3,800 ล้าน ฟ้องหมิ่นสกัดข้อหาฟอกเงิน



ถ้าใครติดตามเรื่องสหกรณ์คลองจั่นมาตามลำดับ คงจำกันได้ว่า ปกติแล้วการตั้งข้อหาฟอกเงิน จะต้องตั้งข้อหาจากต้นทางก่อนแล้วจึงจะตั้งข้อหาที่ปลายทางได้ แต่คดีนี้มีเรื่องแปลกอยู่อย่างหนึ่งคือ ไม่มีการตั้งข้อหาฟอกเงินแก่สหกรณ์ซึ่งเป็นต้นทาง แต่ข้ามขั้นตอนมาตั้งข้อหาฟอกเงินกับหลวงพ่อวัดพระธรรมกายได้เลย
 หลังจากชาววัดกับเจ้าหน้าที่รัฐเถียงกันเรื่องปัญหากระดุมเม็ดแรกที่ข้ามขั้นตอนกันอยู่ยกใหญ่ ผลคือวัดพระธรรมกายโดนตั้งข้อหาอย่างอื่นพ่วงไปด้วย 350 คดี ตามมาด้วยการตรวจค้นวัดตามคำสั่ง ม.44 และเพิ่มคดีใหม่ให้แก่ลูกศิษย์วัดอีกหลายคดี (ทั้งที่ทำผิดขั้นตอนกฎหมายมาทั้งหมดนั่นแหละ)



 คราวนี้หลังจากผ่านเรื่อง ม.44 ได้ 4 เดือน คณะทำงานกลุ่มเดิม (ที่เคยกล่าวหาวัดพระธรรมกาย) ก็มาแนวใหม่ด้วยการเปิดประเด็นกล่าวหาประธานการฟื้นฟูสหกรณ์ฯ ว่าดำเนินการโดยทุจริต ซึ่งก็มีผู้รู้สันนิษฐานว่า นี่อาจจะเป็นการหาเหตุตั้งข้อหาฟอกเงินที่ต้นทาง เพื่อขยายผลไปสู่ปลายทางคือวัดพระธรรมกาย
 ยกตัวอย่างเช่น สมมุติว่าหากมีการตั้งข้อหาฟอกเงินกับคณะกรรมการฟื้นฟูสหกรณ์ขึ้นมาจริงๆ คราวนี้ก็จะสามารถใช้ ปปง. อายัดทรัพย์ได้ทั้งสหกรณ์ และขยายผลมาถึงวัดพระธรรมกายและมูลนิธิธรรมกายได้ง่ายขึ้น
 แต่บังเอิญว่า ปธ.ฟื้นฟูสหกรณ์คลองจั่น เขาไม่ใช่ประเภทปล่อยให้ยืนต่อยอยู่ข้างเดียวแบบวัดพระธรรมกาย เขาจึงต้องสู้เพื่อไม่ให้ใครมากล่าวหาว่าเขาทุจริตเพื่อนำไปเป็นข้ออ้างในการตั้งข้อหาฟอกเงินแก่สหกรณ์ได้


 ในส่วนของวัดพระธรรมกายก็ต้องระวังตัว อย่ายอมให้ใครมาตั้งข้อหาฟอกเงินจากการรับบริจาคได้ เพราะจะกลายเป็นบรรทัดฐานใหม่ในการใช้กฎหมายตั้งข้อหาฟอกเงินกับ 40,000 วัดทั่วประเทศ
 เพราะการตั้งข้อหาฟอกเงินจากการรับบริจาคนั้น เป็นการตั้งข้อหาที่ปลายทาง ที่ถูกต้องคือจะต้องไปพิสูจน์กันที่ต้นทางให้สิ้นสุดบนศาลก่อนว่ามีการฟอกเงินเกิดขึ้นจริงหรือไม่ จึงค่อยมาสอบสวนกันที่ปลายทาง ซึ่งการข้ามขั้นตอนมาตั้งข้อหากับวัดที่อยู่ปลายทางในฐานะผู้บริจาคนั้น เป็นเรื่องที่สร้างความงุนงงให้กับนักกฎหมายและประชาชนทั้งประเทศ
 แม้ในช่วงเวลานั้น ชาววัดได้พยายามช่วยกันทักท้วงอยู่เป็นปีๆ ว่าเจ้าพนักงานรัฐติดกระดุมเม็ดแรกผิด แต่ก็ไม่ฟัง ตั้งธงจะจับกุมตัวหลวงพ่ออย่างเดียว จนบานปลายเลยเถิดไปถึงขั้นยกกำลังมาปิดล้อมวัดนานเป็นเดือน จนมีผู้บริสุทธิ์เสียชีวิตไป 2 คน ทั้งๆ ที่ไม่ได้ทำผิดอะไร ไม่จำเป็นต้องมอบตัว เพราะเจ้าหน้าที่รัฐทำผิดขั้นตอน เป็นการละเมิดสิทธิ แต่ก็ไม่ยอมกลับไปทำให้ถูกต้อง
 ร้อนใจถึงลูกศิษย์วัดต้องมาช่วยกันตะโกนบอกว่าติดกระดุมเม็ดแรกผิด กลับไปติดมาใหม่ให้ถูกต้องก่อน เลยโดน ม.44 กันถ้วนหน้า (งงกันไปเป็นยกที่สองกับการข้ามขั้นตอนไปใช้ ม.44 เลย)
สำหรับการเปิดประเด็นรอบใหม่นี้ ผู้รู้ท่านก็วิเคราะห์ว่า ถ้ารอบใหม่นี้ เขาตั้งต้นข้อหาฟอกเงินที่สหกรณ์อีก คราวนี้จะเป็นเรื่องใหญ่ เพราะแค่สหกรณ์ไปยื่นขออำนาจศาลให้ช่วยรวมคดีที่แยกย่อยไว้ 10-13 คดี ให้เป็นคดีเดียว ของกลางที่อายัดไว้ 3.8 พันล้านบาท ก็จะต้องคืนเขาไปทันที

 เนื่องจากเมื่อคดีถูกรวมเป็นคดีเดียว และสหกรณ์ขอถอนคดีทั้งหมดออกจากศาล ก็เท่ากับว่าคุณศุภชัยพ้นจากอำนาจคุมขังแล้ว ข้ออ้างที่จะให้เขาติดคุกฟรีก็จะหมดไป (ยิ่งต้องเพิ่มการคุ้มกันอันตรายในห้องขังให้ดี)
 นอกจากนั้น เมื่อกรกฎาคมปี 59 นั้น ศาลปกครองได้วินิจฉัยว่าเรื่องปัญหาสหกรณ์เป็นการบริหารผิดพลาดโดยประมาท ให้กรมส่งเสริมสหกรณ์จ่ายค่าเสียหายให้แก่สหกรณ์ ก็เท่ากับเป็นการยืนยันว่า การตั้งข้อหาฟอกเงินกับหลวงพ่อวัดพระธรรมกายเป็นความผิดพลาดโดยขาดการตรวจสอบใช่หรือไม่




 คราวนี้ ปัญหาที่เคยข้ามขั้นตอนไว้ทั้งหมด มันจะย้อนกลับทันที ไหนจะปัญหาการดำเนินคดีผิดขั้นตอน ปัญหาตั้งข้อหาฟอกเงินผิดมูลฐาน ปัญหากักขังหน่วงเหนี่ยวไม่มีความผิดให้ติดคุกฟรี ปัญหาใช้อำนาจรัฐโดยมิชอบ ปัญหาพนักงานสอบสวนยักยอกทรัพย์ของกลางโดยไม่ขายทอดตลาด ปัญหาคืนของกลางมูลค่า 3,800 ล้านบาท ปัญหาตั้งข้อหาพระสงฆ์ที่ไม่มีความผิดให้มีความผิด ปัญหากล่าวหาเลื่อนลอยไร้หลักฐาน ปัญหาหมิ่นประมาทโดยมีเจตนาไว้ก่อน ปัญหาขออนุมัติ ม.44 โดยเบาะแสไม่มีมูล นึกๆ แล้วปวดหัวแทน
 ดูสถานการณ์ข้างหน้าแล้ว การเปิดประเด็นรอบใหม่นี้ ฝ่ายสหกรณ์ที่ถูกกล่าวหาว่าทุจริต คงจะยอมกันไม่ได้แล้ว เพราะถ้ายอมให้อีกฝ่ายกล่าวหาลอยๆ ต่อไป ก็มีโอกาสโดนตั้งข้อหาฟอกเงินตามมาทันที ดังนั้น พวกที่ไปหมิ่นประมาทว่าเขาฟื้นฟูโดยทุจริต ก็ต้องเตรียมตัวไปพิสูจน์ความจริงบนศาล และเขาคงไม่ปล่อยให้ชกข้างเดียวแบบวัดพระธรรมกายอย่างแน่นอน

สำหรับเรื่องนี้ เราคงต้องติดตามดูกันต่อไปว่า
1. สหกรณ์จะได้ทรัพย์สินของกลาง 3,800 ล้านบาท คืนหรือไม่
2. ศาลจะยอมรวมคดีทุกคดีให้เป็นคดีเดียวหรือไม่
3. คุณศุภชัยที่ติดคุกฟรีหลังจากเจ้าทุกข์ถอนคดีออกจากศาลไปแล้วจะทำอย่างไรต่อไป
4. สหกรณ์จะโดนตั้งข้อหาฟอกเงิน เพื่ออายัดทรัพย์สินไว้ก่อนหรือไม่
5. คำวินิจฉัยของศาลปกครองจะนำไปคัดค้านการตั้งข้อหาฟอกเงินกับสหกรณ์ได้หรือไม่
6. วัดพระธรรมกายที่ไม่มีความผิด แต่โดนดำเนินคดีอย่างข้ามขั้นตอน จะทำอย่างไรต่อไป
7. เรื่องนี้จะกลายเป็นบรรทัดฐานใหม่ในการใช้กฎหมายตั้งข้อหาฟอกเงินและรับของโจรจากการรับบริจาคของทุกศาสนาในประเทศไทยหรือไม่
เราคงต้องติดตามเรื่องนี้กันต่อไป 
Cr : Ptt Cnkr

ไม่มีความคิดเห็น